Q-CHANG for Business

Working Time: Mon - Fri 9:00 AM - 6:00 PM
Follow us:
ส่งอีเมล์

b2b.relations@q-chang.com

เบอร์โทรติดต่อ

02-821-6545

Categories
Blog

องค์ประกอบของระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม และสิ่งที่ต้องคำนึงถึง

ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานในภาคอุตสาหกรรม การมีระบบไฟฟ้าโรงงานที่มีประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพสูงจะช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าโรงงานอย่างเหมาะสม จะสามารถบริหารจัดการกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การลงทุนในเทคโนโลยีและโซลูชันด้านระบบไฟฟ้าที่ทันสมัย จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการยกระดับความสามารถทางธุรกิจในยุคอุตสาหกรรม 4.0

ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับความสำคัญของระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ประเภทของระบบไฟฟ้าในโรงงานมีอะไรบ้าง รวมไปถึงอธิบายองค์ประกอบและสิ่งที่ต้องคำนึงในการติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงาน


ระบบไฟฟ้าสำคัญอย่างไรต่อโรงงานอุตสาหกรรม

ระบบไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรมเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการจัดการและควบคุมการจ่ายไฟฟ้าให้กับเครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบต่าง ๆ ภายในโรงงาน ระบบไฟฟ้าโรงงานจะประกอบด้วยองค์ประกอบหลายส่วนเช่น หม้อแปลงไฟฟ้า, แผงควบคุมไฟฟ้า, ระบบสายส่ง และอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า 

การติดตั้งไฟฟ้าในโรงงานที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้กระบวนการผลิตดำเนินไปอย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าขัดข้องหรืออุบัติเหตุ และช่วยในด้านการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการผลิต ความปลอดภัย และต้นทุนการดำเนินงานของโรงงาน ด้วยเหตุนี้ ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรม


ประเภทของระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม

อย่างที่ได้ทราบกันไปแล้วว่า ระบบไฟฟ้าภายในโรงงานเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งการวางระบบไฟฟ้าโรงงานที่เหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และรับประกันความปลอดภัย งานระบบไฟฟ้าโรงงานจึงต้องได้รับการออกแบบและติดตั้งอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม โดยประเภทหลัก ๆ ของระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมจะแบ่งออกเป็น 2 ระบบ ดังนี้

ระบบไฟ 3 เฟส 380V

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 380V เป็นระบบไฟฟ้าโรงงานที่ประกอบด้วยสายไฟ 3 เส้นที่มีแรงดันไฟฟ้าต่างเฟสกัน 120 องศา โดยมีแรงดันระหว่างสายไฟแต่ละคู่เท่ากับ 380V ซึ่งข้อดีของระบบนี้คือสามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าได้สูง เหมาะสำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรม ช่วยลดการสูญเสียพลังงานในสายส่ง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของระบบไฟ 3 เฟส 380V คือไม่สามารถใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปที่ต้องการแรงดัน 220V ได้โดยตรง ทำให้อาจต้องติดตั้งหม้อแปลงเพิ่มเติมสำหรับอุปกรณ์เหล่านั้น นอกจากนี้ การติดตั้งระบบไฟโรงงานและบำรุงรักษาอาจซับซ้อนกว่าระบบไฟเฟสเดียว จึงอาจต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการดูแล

ระบบไฟ 3 เฟส 4 สาย 380/220V

ระบบไฟ 3 เฟส 4 สาย 380/220V เป็นระบบไฟฟ้าโรงงานที่มีสายไฟ 3 เส้นเช่นเดียวกับระบบ 3 เฟส 380V แต่มีสายนิวทรัลเพิ่มเข้ามาเป็นสายที่ 4 ทำให้สามารถใช้แรงดัน 220V ระหว่างสายเฟสกับสายนิวทรัล ซึ่งข้อดีของระบบนี้คือมีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ไฟ 3 เฟส 380V และอุปกรณ์ที่ใช้ไฟเฟสเดียว 220V ได้ในระบบเดียวกัน ทำให้เหมาะสำหรับโรงงานที่มีการใช้งานอุปกรณ์หลากหลายประเภท และช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและบำรุงรักษา 

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของระบบไฟ 3 เฟส 4 สาย 380/220V คือต้องการการออกแบบระบบไฟฟ้าในโรงงานและการจัดการโหลดที่สมดุลระหว่างเฟสมากกว่าระบบ 3 เฟส 380V ทำให้อาจมีต้นทุนการติดตั้งสูงกว่าเนื่องจากต้องใช้สายไฟเพิ่มขึ้น 


องค์ประกอบของระบบไฟฟ้าโรงงาน

ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม

ระบบไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรมเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความซับซ้อนและมีความสำคัญ ซึ่งจะประกอบด้วยองค์ประกอบหลายส่วนที่ทำงานร่วมกันเพื่อจ่ายการไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ต่อไปนี้คือองค์ประกอบหลักของระบบไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรม

  • หม้อแปลงไฟฟ้า
    หม้อแปลงไฟฟ้าทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟฟ้าจากระบบจำหน่ายของการไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งานในโรงงาน โดยทั่วไปจะลดแรงดันจากระดับสูง (เช่น 22 kV) เป็นระดับที่ใช้งานภายในโรงงาน (เช่น 380/220V) อาจเรียกได้ว่าหม้อแปลงเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างระบบไฟฟ้าภายนอกและระบบไฟฟ้าในโรงงาน
  • แผงสวิตช์ไฟฟ้าแรงดันต่ำ (Low Voltage Switchboard)แผงสวิตช์ไฟฟ้าแรงดันต่ำเป็นศูนย์กลางการจ่ายระบบไฟฟ้าในโรงงาน ทำหน้าที่ควบคุมและกระจายไฟฟ้าไปยังส่วนต่าง ๆ ของโรงงาน ประกอบด้วยอุปกรณ์ตัดตอนและป้องกันระบบไฟฟ้า เช่น เซอร์กิตเบรกเกอร์ และฟิวส์
  • ระบบสายไฟและท่อร้อยสาย
    ระบบสายไฟและท่อร้อยสายจะทำหน้าที่ส่งผ่านกระแสไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ในโรงงาน การเลือกขนาดสายไฟและวิธีการเดินสายที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างมากต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าโรงงาน
  • ระบบกราวด์ (Grounding System)
    ระบบกราวด์ หรือสายดิน จะช่วยป้องกันอันตรายจากเหตุไฟฟ้ารั่วและฟ้าผ่า โดยจะนำกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหลลงสู่ดิน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานและป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า
  • อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก (Surge Protection Devices)
    อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากจะช่วยป้องกันความเสียหายต่อระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากเหตุไฟกระชากที่อาจเกิดจากฟ้าผ่าหรือการสวิตช์โหลดขนาดใหญ่
  • ระบบควบคุมและมอนิเตอร์
    ระบบควบคุมและมอนิเตอร์ช่วยในการตรวจสอบและควบคุมการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงงาน ซึ่งอาจรวมถึงมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ระบบ SCADA และอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพไฟฟ้าต่าง ๆ ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตามและจัดการการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ต้องคำนึงในการติดตั้งระบบไฟฟ้าโรงงาน

การติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการผลิต ความปลอดภัย และต้นทุนการดำเนินงานของโรงงาน ในการวางแผนและดำเนินการติดตั้ง ทำให้มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง

ปัจจัยแรกการออกแบบวงจรไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมต้องคำนึงถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งในปัจจุบันและในอนาคต โดยต้องมีการคำนวณโหลดไฟฟ้าอย่างแม่นยำเพื่อเลือกขนาดสายไฟ อุปกรณ์ป้องกัน และหม้อแปลงที่เหมาะสม นอกจากนี้ การจัดวางตำแหน่งของแผงควบคุมไฟฟ้าและเส้นทางเดินสายไฟต้องคำนึงถึงความสะดวกในการบำรุงรักษาและการขยายระบบในอนาคตอีกด้วย

ด้านความปลอดภัยก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงาน ต้องมีการติดตั้งระบบป้องกันไฟฟ้ารั่ว ระบบกราวด์ และอุปกรณ์ป้องกันการลัดวงจรที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการออกแบบระบบให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

สุดท้าย ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องพิจารณา โดยอาจมีการติดตั้งระบบควบคุมและตรวจวัดการใช้พลังงาน เพื่อช่วยในการบริหารจัดการและลดต้นทุนค่าไฟฟ้าภายในโรงงาน ทำให้โรงงานดำเนินการได้ตรงตามประสิทธิภาพที่ต้องการที่สุด


บริการตรวจสอบระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม “Q-CHANG for Business” 

การติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงาน

ระบบไฟฟ้าโรงงานเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ซึ่งจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายส่วน เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า, แผงสวิตช์ไฟฟ้า, ระบบสายไฟ และระบบป้องกัน การออกแบบและติดตั้งที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาระบบไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอเป็นสิ่งจำเป็นที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ

การทำให้ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพถือเป็นเรื่องสำคัญ “Q-CHANG for Business” มีบริการตรวจระบบไฟฟ้าโรงงานแบบครบวงจร โดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจสอบทุกองค์ประกอบของระบบไฟฟ้าในโรงงานอย่างละเอียด ตั้งแต่การวิเคราะห์คุณภาพไฟฟ้า การตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ ไปจนถึงการประเมินประสิทธิภาพการใช้พลังงาน นอกจากนี้เรายังมีบริการรับซ่อมระบบไฟฟ้าที่มีปัญหา เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสะดุด 

เราพร้อมให้คำแนะนำในการปรับปรุงและบำรุงรักษาที่เหมาะสม ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของการผลิต และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว หากสนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Categories
Blog

21 ไอเดียแบบออฟฟิศสวย ๆ เพิ่มบรรยากาศการทำงานให้สนุก มีพลังมากขึ้น!

การตกแต่งออฟฟิศไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความสุขในการทำงานของพนักงานด้วย การออกแบบออฟฟิศสวย ๆ โมเดิร์น และมีฟังก์ชันการใช้งานที่ดีจะสามารถสร้างบรรยากาศออฟฟิศที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มแรงบันดาลใจ และทำให้การทำงานเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากขึ้นได้ ในบทความนี้จะพาคุณไปสำรวจไอเดียและเทคนิคการจัดออฟฟิศให้น่าอยู่ เพื่อเปลี่ยนสถานที่ทำงานธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ที่เปี่ยมด้วยพลังและความสนุกสนาน


ออกแบบออฟฟิศสวย ๆ ให้ประหยัด คุ้มค่า เคล็ดลับและขั้นตอนอย่างไร?

การออกแบบออฟฟิศสวย ๆ โดยไม่สิ้นเปลืองเป็นความท้าทายของหลายองค์กรแต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งการสร้างพื้นที่ทำงานที่คุ้มค่าไม่จำเป็นต้องหมายถึงการลดทอนคุณภาพของวัสดุที่ใช้ เพราะการเลือกใช้วัสดุคุณภาพดีจะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ โดยมีเคล็ดลับและขั้นตอนที่น่าสนใจ ดังนี้


1. จัดทำฝ้าเพดานใหม่ในสไตล์ที่เข้ากับองค์กร

การออกแบบออฟฟิศสวย ๆ

การรีโนเวทฝ้าเพดานใหม่จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับอัตลักษณ์ขององค์กร โดยควรเลือกรูปแบบฝ้าเพดานที่สร้างความรู้สึกโปร่งโล่ง เพิ่มความสูงให้กับพื้นที่ และช่วยเพิ่มแสงภายในออฟฟิศได้ ซึ่งอาจเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับบริษัทที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน หรือการออกแบบที่ล้ำสมัยสำหรับบริษัทด้านเทคโนโลยี


2. เลือกใช้ผนังกั้นห้องที่ตอบโจทย์การใช้งาน

ผนังกั้นห้องในออฟฟิศ

ผนังกั้นห้องมีหลากหลายรูปแบบที่สามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นผนังกระจกใสที่ช่วยให้แสงธรรมชาติส่องผ่านได้ดี สร้างบรรยากาศโปร่งโล่ง หรือผนังกั้นเสียงที่ช่วยลดเสียงรบกวนและเพิ่มความเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับพื้นที่ประชุมหรือทำงานที่ต้องการสมาธิ นอกจากนี้ ยังมีผนังกั้นแบบเคลื่อนย้ายได้ เหมาะสำหรับออฟฟิศที่อยากได้ฟังก์ชันที่ยืดหยุ่นมากขึ้น


3. สร้างห้องประชุมหรือพื้นที่พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น

ห้องประชุมในแบบออฟฟิศสวย ๆ

การสร้างห้องประชุมควรคำนึงถึงความยืดหยุ่นในการใช้งาน เช่น การใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย หรือการติดตั้งผนังที่ปรับความโปร่งใสได้ เพื่อสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างหรือเป็นส่วนตัวตามความเหมาะสม โดยอาจจัดพื้นที่พักผ่อนหรือมุมกาแฟให้อยู่ใกล้กับพื้นที่ประชุมเพื่อช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งอาจนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ


4. ปูพื้นใหม่ ช่วยสร้างบรรยากาศที่แตกต่าง

วิธีปูพื้นในแบบออฟฟิศสวย ๆ 

การปูพื้นใหม่เป็นวิธีที่ดีในการเปลี่ยนโฉมออฟฟิศโดยสามารถเลือกวัสดุปูพื้นที่เหมาะสมทั้งความสวยงามและการใช้งาน เช่น การใช้พื้นไม้ลามิเนตที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ หรือพื้นกระเบื้องยางที่ทนทานและดูแลรักษาง่าย โดยสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ อาจพิจารณาใช้พื้นที่มีลวดลายหรือสีสันแปลกตา เพื่อกระตุ้นแรงบันดาลใจ


5. รีโนเวทมุมเล็ก ๆ ให้เป็นพื้นที่สวน

แบบออฟฟิศสวย ๆ ที่มีมุมสวน 

การสร้างแบบออฟฟิศสวย ๆ โดยรีโนเวทมุมเล็กๆ ให้เป็นสวนเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ซึ่งการเพิ่มต้นไม้สามารถช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานได้ โดยอาจเลือกใช้พืชที่ทนทาน อยู่ในที่ร่มได้ และดูแลรักษาง่าย รวมทั้งอาจใช้กระถางต้นไม้ที่เคลื่อนที่ได้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดวาง ซึ่งจะทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานดูน่าอยู่และมีชีวิตชีวามากขึ้น


6. สร้างบรรยากาศออฟฟิศให้ดูกว้างด้วยการใช้กระจก

ใช้กระจกตกแต่งสำนักงาน

การใช้กระจกแต่งออฟฟิศช่วยทำให้พื้นที่ดูกว้างขวางและสว่างมากขึ้น โดยกระจกสามารถสะท้อนแสงธรรมชาติและแสงไฟภายในห้อง ทำให้พื้นที่สว่าง สดใส และมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะการติดตั้งกระจกบานใหญ่บนผนังหรือใช้เป็นฉากกั้นห้องจะช่วยลดความรู้สึกอึดอัดในพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่นเดียวกับโต๊ะทำงานหรือชั้นวางของที่มีพื้นผิวเป็นกระจกก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเพิ่มความโปร่งโล่งให้กับพื้นที่


7. จัดสรรให้มีพื้นที่เก็บของที่เป็นสัดส่วน

บรรยากาศออฟฟิศที่เป็นสัดส่วน

การจัดสรรพื้นที่เก็บของที่เป็นสัดส่วน เริ่มจากการวางแผนและประเมินความต้องการในการจัดเก็บของแต่ละแผนก โดยสำหรับแผนกที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากอาจต้องรีโนเวทพื้นที่ใหม่ให้เป็นสัดส่วน จากนั้นจึงเลือกวิธีจัดเก็บที่เหมาะสม เช่น ตู้เอกสารแบบลิ้นชัก ชั้นวางแบบเปิด หรือตู้ล็อกเกอร์ส่วนตัว โดยการใช้กล่องจัดเก็บแนะนำให้ทำป้ายกำกับชัดเจนจะช่วยให้ค้นหาสิ่งของได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น


8. ดีไซน์พื้นที่ออฟฟิศที่ส่งเสริมให้เกิดความเคลื่อนไหว

จัดออฟฟิศให้มีทางเดิน

การมีออฟฟิศที่ช่วยให้ผู้ใช้งานได้เคลื่อนไหวเป็นแนวคิดที่น่าสนใจที่จะช่วยสร้างสุขภาพที่ดีและเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน เริ่มจากการจัดวางโต๊ะทำงานแบบยืนได้หรือโต๊ะปรับระดับที่สามารถสลับระหว่างการนั่งและยืนทำงาน การสร้างเส้นทางเดินที่กว้างและโล่งระหว่างโซนต่าง ๆ ช่วยกระตุ้นให้พนักงานเดินมากขึ้น รวมถึงการจัดพื้นที่สำหรับยืดเส้นยืดสายหรือห้องออกกำลังกายเล็ก ๆ ก็สามารถส่งเสริมการเคลื่อนไหวในช่วงระหว่างพักได้


9. ใช้ผนังที่มีอยู่แทนกระดาน เพื่อเป็นพื้นที่การระดมความคิด

บรรยากาศออฟฟิศในการระดมความคิด

การใช้ผนังในออฟฟิศเป็นพื้นที่สำหรับระดมความคิดเป็นวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ เริ่มจากการเลือกผนังในจุดที่เหมาะสม อาจเป็นผนังว่างในพื้นที่ส่วนกลาง ห้องประชุม ผนังที่เป็นกระจก หรือใช้วอลล์เปเปอร์ที่สามารถเขียนได้ ซึ่งจะช่วยให้ติดกระดาษโน้ตหรือภาพต่าง ๆ ได้สะดวก ซึ่งการออกแบบออฟฟิศสวย ๆ ด้วยผนังแบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ระดมความคิด แต่ยังสามารถใช้เป็นที่แสดงเป้าหมายของทีม ไทม์ไลน์โครงการ หรือแผนภูมิต่าง ๆ จึงช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันได้


10. ออกแบบออฟฟิศสวย ๆ ด้วยการใช้แสงตามธรรมชาติ

จัดออฟฟิศด้วยแสงธรรมชาติ

การใช้แสงธรรมชาติให้เริ่มด้วยการเปิดผ้าม่านหรือมู่ลี่ให้มากที่สุดเพื่อให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามา การจัดวางโต๊ะทำงานใกล้หน้าต่างช่วยให้พนักงานได้รับแสงธรรมชาติโดยตรง แต่ควรระวังไม่ให้เกิดแสงสะท้อนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ การรีโนเวทใหม่แล้วเปลี่ยนเป็นผนังกระจกหรือผนังสีอ่อนก็ช่วยสะท้อนแสงให้กระจายทั่วห้อง ทำให้พื้นที่ดูสว่างและกว้างขวางขึ้น สำหรับพื้นที่ที่แสงธรรมชาติเข้าถึงยาก อาจพิจารณาติดตั้งหลังคากระจกในบางส่วน


11. แบ่งพื้นที่โซนที่ใช้เสียงและงดใช้เสียงให้ชัดเจน

รูปแบบออฟฟิศที่มีการแบ่งโซน

การออกแบบออฟฟิศสวย ๆ โดยแบ่งพื้นที่ออฟฟิศเป็นโซนที่ใช้เสียงได้และงดใช้เสียง อาจใช้วิธีการรีโนเวทพื้นที่ใหม่ โดยเพิ่มผนังกั้นที่กั้นเสียงได้หรือเพิ่มพื้นที่ห้องแยกที่มีการป้องกันเสียงรบกวน และใช้ป้ายสัญลักษณ์เพื่อระบุระดับเสียงที่ยอมรับได้ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะช่วยให้พนักงานเข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่าย


12. ใช้วัสดุตามธรรมชาติเข้ามาตกแต่ง

แบบออฟฟิศสวย ๆ ด้วยวัสดุธรรมชาติ

การนำวัสดุธรรมชาติมาใช้เป็นวิธีที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การนำหินกรวดหรือหินเล็ก ๆ มาใช้ประดับตู้ปลาหรือจัดสวนขนาดเล็ก การใช้ผ้าฝ้ายมาทำม่านหรือหุ้มเบาะ การใช้กระถางดินเผาหรือตะกร้าสานจากหวายก็ช่วยเพิ่มความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่น่าอยู่และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของพนักงาน


13. เพิ่มความคูลให้ออฟฟิศด้วยผลงานศิลปะ

รูปแบบออฟฟิศที่มีผลงานศิลปะ

คุณอาจสร้างแบบออฟฟิศสวย ๆ ด้วยการติดตั้งภาพวาดขนาดใหญ่ที่มีสีสันสดใสในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อสร้างจุดสนใจ หรือจัดวางประติมากรรมขนาดเล็กบนโต๊ะทำงานเพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวา โดยการใช้ภาพถ่ายศิลปะหรืองานกราฟิกดีไซน์ตามผนังทางเดินจะช่วยสร้างความน่าสนใจได้ ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความสวยงามให้กับพื้นที่เท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานอีกด้วย


14. จัดสรรมุมพักผ่อนหรือจุดนั่งพักระหว่างการทำงาน

มุมพักผ่อนในออฟฟิศมินิมอล

การจัดสรรมุมพักผ่อนหรือจุดนั่งพักระหว่างทำงานเป็นการออกแบบที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและความสุขของพนักงานได้ โดยคุณอาจจัดพื้นที่ด้วยโซฟานุ่ม ๆ หรือเก้าอี้บีนแบ็กในมุมที่เงียบสงบ พร้อมชั้นหนังสือเล็ก ๆ สำหรับการอ่านเพื่อผ่อนคลาย และมีมุมกาแฟที่มีเครื่องชงกาแฟคุณภาพดีและที่นั่งบาร์สูงช่วยให้พนักงานได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสบาย ๆ


15. สร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง

การจัดออฟฟิศให้น่าอยู่ในแบบของตัวเอง

การรีโนเวทออฟฟิศใหม่โดยเน้นสร้างเอกลักษณ์ของบริษัทสามารถทำได้ด้วยการดีไซน์การตกแต่งภายใน โดยคุณสามารถมีแบบออฟฟิศสวย ๆ ได้ เริ่มจากการเลือกโทนสีที่สอดคล้องกับแบรนด์ โดยอาจใช้สีหลักของโลโก้ หรือเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีสีสันตัดกัน เสริมด้วยการออกแบบป้ายหรือกราฟฟิกที่แสดงวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร แล้วติดตั้งในจุดที่มองเห็นได้ชัดเจน เพราะจะช่วยเน้นย้ำเป้าหมายร่วมกัน รวมถึงช่วยสร้างความภาคภูมิใจและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้มากขึ้น


16. ตกแต่งด้วยต้นไม้ เพิ่มบรรยากาศที่สดชื่น

ตกแต่งออฟฟิศด้วยต้นไม้

การตกแต่งโต๊ะทำงานอาจประดับด้วยไม้อวบน้ำขนาดเล็กหรือต้นแคคตัสที่ดูแลง่าย สำหรับพื้นที่ส่วนกลาง การจัดสวนแนวตั้งหรือ Living Wall จะช่วยประหยัดพื้นที่และสร้างความน่าสนใจ โดยการแขวนกระถางต้นไม้จากเพดานหรือชั้นวางในพื้นที่โล่งช่วยเพิ่มมิติและความเขียวชอุ่ม และยังมีประโยชน์ทั้งด้านการช่วยฟอกอากาศ ลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน


17. แบบออฟฟิศสวย ๆ ไม่ซ้ำใครในสไตล์สแกนดิเนเวีย

รูปแบบออฟฟิศสไตล์สแกนดิเนเวีย

การรีโนเวทแบบออฟฟิศสวย ๆ ในสไตล์สแกนดิเนเวียให้เลือกใช้โทนสีอ่อน ๆ เช่น ขาว เทาอ่อน และเบจ เพื่อสร้างพื้นหลังที่สว่างและกว้างขวาง เฟอร์นิเจอร์ควรเลือกแบบเรียบง่าย ผสมผสานกับวัสดุธรรมชาติ เช่น หนังและผ้าลินิน แล้วเพิ่มความอบอุ่นด้วยพรมขนสัตว์เทียมหรือผ้าผืนใหญ่โทนสีเข้ม ส่วนผนังหลังจากรีโนเวทแล้วอาจตกแต่งด้วยงานศิลปะมินิมอลหรือโปสเตอร์สไตล์นอร์ดิก จัดพื้นที่แบบเปิดโล่งและยืดหยุ่นสอดคล้องกับปรัชญาการทำงานแบบสแกนดิเนเวีย


18. ปล่อยเพดานเปลือยแบบสไตล์ลอฟต์

ออฟฟิศเล็ก ๆ ภายในสไตล์ลอฟต์

การปล่อยเพดานเปลือยในสไตล์ลอฟต์สร้างบรรยากาศที่ทันสมัยและมีเสน่ห์เฉพาะตัว โดยอาจทาสีดำหรือเทาเข้มเพื่อเพิ่มความดิบ หรือปล่อยให้เห็นสีเดิมของวัสดุ และการติดตั้งระบบแสงสว่างแบบห้อยลงมา เช่น โคมไฟอุตสาหกรรมหรือหลอดไฟเปลือย ก็จะช่วยเน้นย้ำความสูงของเพดานและสร้างสีสันที่น่าสนใจได้ ขณะที่เฟอร์นิเจอร์ควรเลือกแบบเรียบง่ายด้วยวัสดุอย่างไม้และเหล็ก


19. ใช้เป็นโต๊ะใหญ่ร่วมกัน เพื่อให้มีพื้นที่มากขึ้น

การจัดออฟฟิศโดยใช้โต๊ะขนาดใหญ่

การใช้โต๊ะทำงานขนาดใหญ่เป็นไอเดียที่ช่วยเพิ่มพื้นที่และส่งเสริมการทำงานร่วมกันในออฟฟิศ โดยอาจเลือกโต๊ะยาวรูปตัว I, L หรือ U ที่รองรับพนักงานได้หลายคน และการจัดวางอุปกรณ์สำนักงานร่วมกัน เช่น เครื่องพิมพ์หรือที่ชาร์จโทรศัพท์ไว้ตรงกลางโต๊ะ โดยแนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยให้ประหยัดพื้นที่ แต่ยังส่งเสริมการสื่อสาร การแลกเปลี่ยนความคิด และการทำงานเป็นทีมอีกด้วย


20. เน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ All in one หรือ Multifunction

การเลือกเฟอร์นิเจอร์เพื่อจัดออฟฟิศให้น่าอยู่

การใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ All in one หรือ Multifunction ช่วยประหยัดพื้นที่และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน โดยเฉพาะโต๊ะทำงานที่มีชั้นวางของและช่องเสียบปลั๊กไฟในตัว ซึ่งจะลดความยุ่งเหยิงบนพื้นที่ทำงาน โต๊ะประชุมที่ปรับขนาดได้ เหมาะสำหรับห้องประชุมที่ต้องรองรับจำนวนคนที่แตกต่างกันในแต่ละครั้ง รวมถึงตู้เก็บของที่มีล้อเลื่อนและสามารถล็อกได้ ก็จะช่วยให้มีเคลื่อนย้ายและจัดเก็บอุปกรณ์สำนักงานได้สะดวกมากขึ้น


21. จัดสรรพื้นที่ทำงานบางจุดให้มองเห็นวิวข้างนอกได้

ตกแต่งสำนักงานให้มองเห็นวิว

การรีโนเวทพื้นที่ทำงานบางจุดให้มองเห็นวิวข้างนอกได้เป็นไอเดียแบบออฟฟิศสวย ๆ ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในการทำงานอย่างมาก โดยอาจใช้โต๊ะยาวขนานกับหน้าต่างเพื่อให้พนักงานได้ชมวิว หรือจัดมุมนั่งทำงานแบบ Lounge ด้วยเก้าอี้สบาย ๆ และโต๊ะเตี้ยริมหน้าต่าง แล้วติดตั้งผ้าม่านโปร่งแสงหรือมู่ลี่ที่ปรับแสงได้ ช่วยควบคุมแสงและความร้อนโดยไม่บดบังวิว


บริการออกแบบและรีโนเวทออฟฟิศโดย “Q-CHANG for Business” เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณไปต่ออย่างไม่สะดุด

สำหรับผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจที่กำลังวางแผนแต่งออฟฟิศใหม่หรือต้องการปรับปรุงพื้นที่ทำงาน บริการออกแบบและรีโนเวทออฟฟิศ ให้ Q-CHANG for Business เป็นตัวเลือกของคุณ ด้วยบริการแบบ One-Stop Service ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้คำปรึกษา, ออกแบบ, รื้อถอน, ก่อสร้าง, ติดตั้งระบบ ไปจนถึงงานตกแต่งภายใน ทำให้การปรับปรุงออฟฟิศเป็นเรื่องง่ายและไร้กังวล เพื่อให้คุณได้ออฟฟิศที่ตอบโจทย์การใช้งานและสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยสามารถติดต่อเราได้ที่

Categories
Blog

ไฟฟ้า 3 เฟสคืออะไร? รู้จักระบบไฟฟ้าที่นิยมใช้ในโรงงาน 

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส หรือที่หลายคนคุ้นเคยกันดีว่าเป็นระบบไฟฟ้าโรงงาน คือระบบไฟฟ้าที่นิยมนำมาใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงออฟฟิศ อาคารพาณิชย์ หรืออาคารสำนักงานต่าง ๆ เป็นหลัก สำหรับใครที่ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า ระบบไฟฟ้าแบบ 3 เฟสจะมีสายที่มีไฟกี่สายมีสายอะไรบ้าง แล้วไฟฟ้า 3 เฟสมีแรงดันกี่โวลต์? บทความนี้จะพาทุกคนมาไขข้อสงสัยและทำความเข้าใจกับระบบไฟฟ้า 3 เฟสไปพร้อมกัน


ระบบไฟฟ้า 3 เฟสคืออะไร เหมาะกับการใช้งานแบบไหน?

ระบบไฟฟ้า 3 เฟสที่เรามักพบคือ ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย ประกอบด้วยสายไฟทั้งหมด 4 เส้น ได้แก่ สายไฟหลักหรือที่เรียกว่าสายไลน์จำนวน 3 เส้น ซึ่งเป็นสายไฟที่มีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา และสายนิวทรอล (Neutral Line) ที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอีก 1 เส้น โดยการทำงานของแรงดันไฟฟ้า 3 เฟส จะมีแรงดันไฟฟ้าระหว่างสายไลน์ด้วยกันเองอยู่ที่ 380-400 โวลต์ ส่วนแรงดันไฟฟ้าระหว่างสายไลน์และสายนิวทรอลจะอยู่ที่ 230-250 โวลต์ และมีความถี่อยู่ที่ 50 เฮิรตซ์ (Hz) 

ระบบไฟฟ้า 3 เฟสจะเหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้กำลังไฟฟ้าสูง เช่น เครื่องจักรขนาดใหญ่ หรืออุปกรณ์ก่อสร้าง รวมถึงอาคารต่าง ๆ ที่ต้องใช้แสงสว่างมาก ๆ หรือใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเหมาะกับการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรในการผลิตต่อเนื่องเป็นเวลานาน, คลังสินค้าที่ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ, บ้านขนาดใหญ่ รวมถึงอาคารพาณิชย์ ออฟฟิศ หรืออาคารสำนักงานต่าง ๆ เป็นต้น 

ทั้งนี้ ระบบไฟ 3 เฟสก็สามารถนำมาใช้งานภายในบ้านทั่วไปได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่สามารถใช้ไฟฟ้า 3 เฟสกับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านโดยตรงได้ จะต้องแบ่งออกเป็นไฟฟ้า 1 เฟส จำนวน 3 ชุดก่อน แล้วค่อยกระจายไปตามจุดต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ซึ่งการแบ่งไฟฟ้าเช่นนี้จะเป็นการเฉลี่ยการใช้ไฟฟ้า จึงช่วยให้ประหยัดค่าใช้ไฟฟ้าได้ 


ระบบไฟฟ้า 3 เฟสมีหลักการทำงานอย่างไร?

ไฟสามเฟสคืออะไร

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส ทำงานโดยใช้หลักการผลิตไฟฟ้ากระแสสลับ ผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่มีวงจรไฟฟ้าพันด้วยขดลวดทองแดงทั้งหมด 3 วงจร ซึ่งแต่ละวงจรจะถูกติดตั้งให้มีระยะห่างเท่ากันประมาณ 120 องศา และมีสนามแม่เหล็กอยู่ตรงกลาง โดยสนามแม่เหล็กนี้จะหมุนตามเข็มนาฬิกา เมื่อตำแหน่งขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กเข้าใกล้ขดลวดในวงจรใดวงจรหนึ่งจะเกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้าจนเกิดกระแสไฟฟ้าสลับขึ้นมา ซึ่งกระแสไฟฟ้าสลับจะเกิดขึ้นในแต่ละวงจรตามช่วงเวลา แล้วจ่ายกระแสไฟฟ้า 3 เฟสออกมาตามลำดับนั่นเอง


ระบบไฟฟ้า 1 เฟสกับระบบไฟฟ้า 3 เฟสแตกต่างกันอย่างไร?

ระบบไฟฟ้า 1 เฟส ประกอบด้วยสายไฟ 2 เส้น คือ สายไลน์ 1 เส้น และสายนิวทรอล 1 เส้น โดยมีแรงดันไฟฟ้าอยู่ที่ 220-230 โวลต์ และมีความถี่อยู่ที่ 50 เฮิรตซ์ (Hz) ซึ่งเป็นปริมาณการจ่ายไฟฟ้าที่เหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปที่ต้องการแรงดันไฟฟ้าที่ 220 โวลต์ เช่น แอร์, พัดลม, ตู้เย็น หรือหลอดไฟ ดังนั้น ระบบไฟฟ้า 1 เฟส จึงเหมาะกับการใช้งานทั่วไปภายในครัวเรือน ซึ่งจะแตกต่างจากระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย ที่เหมาะกับการใช้งานภายในโรงงานอุตสาหกรรม เพราะต้องการใช้กำลังไฟฟ้าสูงเพียงพอต่อการทำงานของเครื่องจักรขนาดใหญ่ หรือเหมาะกับอาคารต่าง ๆ ที่มีการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมากต่อเนื่องเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ ระบบไฟฟ้า 1 เฟสยังติดตั้งได้สะดวกและมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับการติดตั้งระบบไฟฟ้า 3 เฟสที่มีขั้นตอนการติดตั้งที่ค่อนข้างยุ่งยาก และอาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับติดตั้งค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตามการใช้งานในระยะยาวจะพบว่าการใช้งานระบบไฟฟ้า 3 เฟสช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าระบบไฟฟ้า 1 เฟสที่มีการคิดค่าไฟแบบอัตราก้าวหน้า กล่าวคือ ยิ่งใช้มากยิ่งมีค่าไฟสูงนั่นเอง


ระบบไฟฟ้า 3 เฟส มีข้อดีอย่างไรเมื่อเทียบกับระบบไฟฟ้า 1 เฟส

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย

ถึงแม้ว่าระบบไฟฟ้า 3 เฟส จะมีขั้นตอนการติดตั้งที่ซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งค่อนข้างสูงกว่าระบบไฟฟ้า 1 เฟส แต่เมื่อเทียบกับการใช้งานในระยะยาวแล้ว ระบบไฟฟ้า 3 เฟส มีข้อดีหลายประการดังต่อไปนี้ 

1. ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า 

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส สามารถกระจายกระแสไฟฟ้าได้มากกว่าระบบไฟฟ้า 1 เฟส ถึง 3 เท่า ทำให้ไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากเกินไป จึงช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า นอกจากนี้ไฟฟ้า 3 เฟสยังส่งกระแสไฟฟ้าได้ในปริมาณมาก ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ในการผลิตกระแสไฟฟ้า จึงคุ้มค่ามากกว่าด้วย

2. ช่วยให้เครื่องจักรหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เนื่องจากเครื่องจักรขนาดใหญ่จำเป็นต้องใช้กำลังไฟฟ้าปริมาณมหาศาล หากใช้ระบบไฟฟ้า 3 เฟส ก็จะช่วยจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เพียงพอต่อการใช้งาน และผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีความสมดุล ดังนั้นเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ จึงสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3. ให้พลังงานที่มากกว่า ช่วยให้มีไฟฟ้าใช้มากขึ้น

เนื่องจากระบบไฟฟ้า 3 เฟส มีสายไลน์ที่มีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาถึง 3 เส้น ทั้งยังมีแรงดันไฟฟ้าอยู่ที่ 230–400 โวลต์ จึงสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า ให้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณมาก จึงช่วยให้มีไฟฟ้าใช้มากขึ้น

4. พลังงานไฟฟ้าเสถียรมากยิ่งขึ้น ช่วยป้องกันปัญหาไฟฟ้าติดขัด

ปัญหาไฟฟ้าติดขัดอย่างไฟดับหรือไฟตก มีสาเหตุมาจากระบบไฟจ่ายพลังงานไฟฟ้าไม่เพียงพอ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดกับระบบไฟฟ้า 1 เฟสที่มีแรงดันไฟฟ้าน้อยและมีสายไฟหลักเพียงแค่ 1 เส้น ต่างจากระบบไฟฟ้า 3 เฟสที่มีสายไฟหลักถึง 3 เส้น ทั้งยังให้แรงดันไฟฟ้ามากกว่า ดังนั้นจึงสามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างสม่ำเสมอและคงที่ พลังงานไฟฟ้าจึงมีเสถียรภาพ ซึ่งหากใช้ควบคู่กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็จะช่วยป้องกันปัญหาไฟฟ้าติดขัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

5. ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 

ระบบไฟฟ้า 1 เฟสอาจให้กำลังไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เมื่อต้องใช้กับเครื่องจักรขนาดใหญ่หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการกำลังไฟฟ้าปริมาณมาก ทำให้ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น แต่หากเลือกใช้ระบบไฟฟ้า 3 เฟสที่สามารถกระจายกระแสไฟฟ้าได้อย่างสมดุลมากกว่าจะช่วยลดพลังงานการใช้ไฟฟ้าลง แต่ยังคงประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานของเครื่องจักรได้ 

6. ยืดอายุการทำงานของระบบไฟฟ้า ไม่ต้องซ่อมบำรุงบ่อย ๆ 

เนื่องจากไฟฟ้า 3 เฟสช่วยให้พลังงานไฟฟ้ามีความเสถียรมากยิ่งขึ้น ระบบไฟฟ้าสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลและมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถป้องกันปัญหาไฟดับ ไฟตก หรือไฟกระชากได้ จึงช่วยยืดอายุและรักษาประสิทธิภาพการทำงานของระบบไฟฟ้า ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบำรุงระบบไฟฟ้าอยู่บ่อย ๆ 


แนะนำบริการตรวจสอบและซ่อมระบบไฟฟ้าโรงงานจาก “Q-CHANG for Business” 

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ในปริมาณมากอย่างมีเสถียรภาพ นิยมใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ หรืออาคารสำนักงานต่าง ๆ ที่ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะช่วยประหยัดไฟฟ้าและช่วยป้องกันปัญหาไฟฟ้าติดขัดได้เป็นอย่างดี แต่หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบไฟฟ้าก็ไม่ควรนิ่งเฉยหรือปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นกับระบบไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพและการทำงานของเครื่องจักร รวมถึงความปลอดภัยในโรงงานด้วย 

หากพบเห็นความผิดปกติเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าภายในอาคาร หรือประสบปัญหาระบบไฟฟ้าโรงงานติดขัด ที่ Q-CHANG for Business เรามีบริการตรวจระบบไฟฟ้าโรงงานและซ่อมไฟฟ้า พร้อมดำเนินการตรวจสอบทุกขั้นตอนอย่างเต็มรูปแบบด้วยทีมช่างมืออาชีพที่มีมาตรฐาน ผ่านการฝึกอบรมและมีใบรับรองความรู้ความสามารถด้านระบบไฟฟ้าในอาคาร ทั้งยังใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่เหมาะสมทันสมัย เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ให้คุณหมดกังวลทุกปัญหางานระบบไฟฟ้า ธุรกิจสามารถต่อได้แบบไม่มีสะดุด สนใจบริการตรวจสอบระบบไฟฟ้าโรงงาน สามารถติดต่อ Q-CHANG for Business ได้ผ่านช่องทางดังต่อไปนี้