ภาวะ “Overload” หรือ “ไฟเกิน” ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่กระทบต่อความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นในบ้านพักอาศัย โรงงาน หรือสำนักงานขนาดใหญ่ แม้จะดูเหมือนไม่ร้ายแรงในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ก็อาจทำให้วงจรไฟฟ้าเสียหาย หรือรุนแรงถึงขั้นเกิดอัคคีภัยได้
ดังนั้น การเข้าใจว่า Overload คืออะไร เกิดจากอะไร และส่งผลต่อระบบไฟฟ้าอย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
Overload คืออะไร?
Overload (โอเวอร์โหลด) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ไฟเกิน” หมายถึง สภาวะที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านสายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้ามากเกินกว่าค่าที่กำหนดไว้ ซึ่งเกินความสามารถในการรองรับของอุปกรณ์หรือสายไฟในวงจรนั้น ๆ
เมื่อเกิดโอเวอร์โหลด สายไฟจะเกิดความร้อนสูง และถ้าความร้อนนั้นสะสมมากเกินไปโดยไม่มีการตัดวงจร ก็อาจทำให้ฉนวนของสายไฟละลาย เกิดการลัดวงจร หรือไฟไหม้ได้ทันที จึงกล่าวได้ว่าวงจรโอเวอร์โหลด คือจุดเสี่ยงที่อาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรงทางไฟฟ้าได้ในทุกช่วงเวลา
ไฟเกินเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?
เพื่อป้องกันปัญหาโอเวอร์โหลด ต้องเข้าใจที่มาของมันก่อน ซึ่งโดยทั่วไปมักมีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้
1. ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชิ้นพร้อมกัน
ในหลายครัวเรือนหรือสำนักงาน อาจมีการเสียบปลั๊กพ่วงเพื่อใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชิ้นพร้อมกัน เช่น พัดลม หม้อหุงข้าว ไมโครเวฟ และกาต้มน้ำไฟฟ้า หากวงจรที่ใช้ไม่มีขนาดพอในการรับกระแสรวม ก็จะเกิดโอเวอร์โหลดทันที
2. ใช้เครื่องจักรที่กินไฟเกินกว่าที่ระบบรองรับ
ในภาคอุตสาหกรรม บ่อยครั้งที่เครื่องจักรบางประเภทต้องใช้กำลังไฟสูง แต่ระบบไฟฟ้าไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับโหลดเหล่านั้น การเปิดใช้งานเครื่องจักรพร้อมกันโดยไม่มีระบบป้องกันที่เหมาะสมจึงทำให้เกิดไฟเกิน
3. สายไฟเก่า หรือขนาดไม่เหมาะสม
หากใช้สายไฟขนาดเล็กเกินไป เมื่อโหลดไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สายไฟจะร้อนเร็วและเกิดความเสียหายได้ง่าย ถือเป็นสาเหตุหนึ่งของวงจรโอเวอร์โหลดที่พบได้บ่อย
4. ระบบตัดไฟไม่ทำงาน
หลายคนอาจเข้าใจว่าแค่ติดตั้งเบรกเกอร์ก็เพียงพอในการป้องกันไฟเกิน แต่ในความเป็นจริงระบบตัดไฟจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีการติดตั้งและเลือกใช้อย่างถูกต้องเท่านั้น หากระบบไม่สามารถตรวจจับกระแสที่เพิ่มขึ้นเกินค่าที่กำหนดได้ ก็อาจไม่ตัดวงจรทันทีส่งผลให้ไฟเกินสะสมจนเกิดความร้อนหรือความเสียหาย
ผลกระทบของ Overload ต่อระบบไฟฟ้า
เมื่อเกิดกระแสไฟฟ้าเกินพิกัด ความร้อนจะสะสมอย่างรวดเร็วในสายไฟ หากไม่มีระบบตัดไฟที่ตอบสนองทันเวลา ผลที่ตามมาอาจรุนแรง เช่น
- เพลิงไหม้จากฉนวนสายไฟที่ละลาย
- อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหาย
- ระบบไฟฟ้าล่มหรือหยุดชะงัก
- เสี่ยงต่อชีวิตของผู้อยู่อาศัยหรือพนักงานในพื้นที่
วิธีป้องกัน Overload ที่ควรรู้
เพื่อความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าและลดความเสี่ยงจากไฟเกิน ควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้
วิธีป้องกันวงจรโอเวอร์โหลดสำหรับภาคอุตสาหกรรม
สำหรับโรงงานหรือภาคอุตสาหกรรม การป้องกันวงจรโอเวอร์โหลดต้องทำอย่างเข้มงวด เนื่องจากการหยุดชะงักของระบบไฟฟ้าอาจส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตและความปลอดภัยของพนักงาน
- ประเมินและออกแบบโหลดอย่างแม่นยำ วิเคราะห์ปริมาณโหลดรวมของเครื่องจักรและระบบไฟฟ้าในโรงงาน เพื่อกำหนดขนาดสายไฟและเบรกเกอร์ที่เหมาะสม
- ใช้เบรกเกอร์และฟิวส์คุณภาพสูง เลือกใช้อุปกรณ์ตัดไฟที่มีความไวและทนทานตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันการลัดวงจรและโอเวอร์โหลดได้อย่างแม่นยำ
- ติดตั้งระบบป้องกันโหลดเกิน (Overload Relay) ระบบนี้ช่วยตรวจจับกระแสไฟฟ้าที่เกินค่าที่ตั้งไว้ และตัดวงจรเพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องจักร
- แยกวงจรไฟฟ้าเฉพาะสำหรับเครื่องจักรหนัก เช่น มอเตอร์ขนาดใหญ่ เครื่องอัด เครื่องจักร CNC เพื่อป้องกันการกระจายโหลดเกินและไฟตก
- ตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ตรวจเช็คสายไฟ เบรกเกอร์ รีเลย์ และอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ เพื่อให้ระบบทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย
- ใช้ระบบควบคุมโหลดอัตโนมัติ (Load Management System) ช่วยบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าในโรงงาน ลดโอกาสเกิดโอเวอร์โหลดแบบกะทันหัน
- ฝึกอบรมและให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยไฟฟ้า เพื่อให้เข้าใจการใช้งานระบบไฟฟ้าอย่างถูกวิธีและลดความเสี่ยงจากการใช้งานผิดพลาด
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนติดตั้งหรือปรับปรุงระบบไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่าการออกแบบและติดตั้งรองรับการใช้งานจริง และปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรม
วิธีป้องกันวงจรโอเวอร์โหลดสำหรับภาคครัวเรือน
- ประเมินโหลดไฟฟ้าอย่างถูกต้อง ตรวจสอบว่าแต่ละวงจรใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้ารวมแล้วกินไฟเท่าไร และเปรียบเทียบขนาดสายไฟและเบรกเกอร์ที่ติดตั้งอยู่ วงจรใดที่มีโหลดสูง ควรแยกใช้งานเฉพาะ
- เลือกใช้สายไฟและเบรกเกอร์ให้เหมาะกับโหลด สายไฟควรมีขนาดเพียงพอกับกระแสไฟที่ใช้งานจริง และเบรกเกอร์ต้องมีค่าพิกัดที่สอดคล้องกับสายไฟ เพื่อให้ระบบตัดไฟทันเมื่อเกิดกระแสเกิน
- แยกวงจรอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสูง อุปกรณ์อย่างแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น เตาอบ ควรแยกวงจรเฉพาะ ไม่ควรใช้งานร่วมกับปลั๊กพ่วงหรือแชร์โหลดกับวงจรทั่วไป
- ตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในอาคารเก่าหรือโรงงานที่มีการใช้งานหนัก ควรมีการตรวจสภาพสายไฟ เบรกเกอร์ และอุปกรณ์ป้องกันเป็นประจำ
- ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเพิ่มเติมหากจำเป็น เช่น รีเลย์ป้องกันโหลดเกิน หรือระบบควบคุมโหลดอัตโนมัติ ที่สามารถช่วยตัดวงจรเมื่อโหลดสูงเกินค่าที่ตั้งไว้
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนต่อเติมระบบไฟฟ้า หากต้องเพิ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือขยายพื้นที่ใช้งาน ควรให้ช่างไฟฟ้าที่มีใบรับรองประเมินระบบก่อนทุกครั้ง
Overload ปัญหาไฟฟ้าที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่
อาการไฟฟ้าไม่เสถียร ไฟกระพริบ ไฟติด ๆ ดับ ๆ หรือเบรกเกอร์ตัดอยู่บ่อยครั้ง ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจสะท้อนถึงปัญหาซ่อนเร้นในระบบ ไม่ว่าจะเป็นสายไฟเสื่อม จุดต่อหลวม หรือโหลดเกินในบางจุด ซึ่งหากปล่อยไว้อาจลุกลามจนกลายเป็นเหตุฉุกเฉินได้
Q-CHANG for Business พร้อมให้บริการทั้งงาน Maintenance & Repair อย่างมืออาชีพ
ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างเสถียรในระยะยาว หรือการซ่อมแซมกรณีเกิดปัญหาเฉพาะหน้า ทีมช่างของ Q-CHANG พร้อมให้บริการครบวงจร ดังนี้
- ตรวจสอบและแก้ไขไฟติด ๆ ดับ ๆ
- เปลี่ยนอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพ เช่น เบรกเกอร์ สายไฟ ปลั๊ก
- ตรวจสอบระบบโหลด ปรับสมดุลโหลดในแต่ละโซน
- ซ่อมแซมและอัปเกรดระบบไฟให้รองรับการใช้งานในอนาคต
ทีมช่างทุกคนได้รับใบรับรองความรู้ความสามารถจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ
สรุป
Overload ปัญหาไฟฟ้าที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคารสำนักงาน หรือโรงงานอุตสาหกรรม สาเหตุของไฟเกินมักมาจากการใช้งานเกินพิกัด การเลือกอุปกรณ์ไม่เหมาะสม หรือระบบไฟฟ้าที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจว่าไฟเกินเกิดจากอะไร และมีมาตรการป้องกันที่ชัดเจนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อปกป้องทั้งทรัพย์สิน ชีวิต และความต่อเนื่องของธุรกิจ
หากต้องการผู้เชี่ยวชาญดูแลระบบไฟฟ้าให้ปลอดภัยจากภาวะ Overload ทีมงานของ Q-CHANG for Business พร้อมให้คำปรึกษาแบบครบวงจรทั้งในภาคครัวเรือน อาคารพาณิชย์ และภาคอุตสาหกรรม
Contact
LINE OA : @qchangforbusiness หรือคลิก https://lin.ee/RZPKb1u
Website : https://biz.q-chang.com
Tel : 02-821-6545